การงานอาชีพ

วิธีการแสวงหาความรู้
ธรรมชาติของมนุษย์ส่วนใหญ่ต้องการที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้นซึ่งเหตุนี้จึงเป็นแรงกระตุ้นให้มนุษย์มีความอยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบตัวเอง เพื่อให้เข้าใจถึงความจริงที่อย่างน้อยมนุษย์พึงเชื่อและยอมรับในความแท้จริงของปรากฏการณ์เหล่านั้น  วิธีการที่มนุษย์ใช้แสวงหาความรู้ความจริงมีดังนี้
     1. การแสวงหาความรู้ความจริงโดยไม่อาศัยเหตุผลเป็นการแสวงหาความรู้ ความจริงอย่างง่าย ๆ โดยมากมักจะเป็นความจริงส่วนบุคคล(Personal Facts) เช่น 
        - ความรู้จากประสบการณ์ส่วนบุคคล  ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ของแต่ละบุคคลอาจจะเป็นความรู้ที่ได้จากการสะสมขึ้นมาเองหรือแสวงหาความรู้แบบบังเอิญ  เช่นเด็กเล็ก ๆ เอานิ้วมือไปใกล้ไฟมากๆ ก็จะเกิดการเรียนรู้ว่าไฟร้อน  หรือได้ความรู้มาโดยการลองผิดลองถูกเช่น มีบาดแผลเลือดไหล ลองขยี้ใบไม้ชนิดต่าง ๆ มาปิดแผลถ้าใบไม้ชนิดใดห้ามเลือดได้ ก็จะเกิดความรู้ใหม่ ซึ่งได้จากการลองผิดลองถูก 
         - ความรู้จากบุคคลอื่นเช่น โดยประเพณีและวัฒนธรรม โดยมีผู้รู้บอก ให้หรือโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้บอก 
      การแสวงหาความรู้ของมนุษย์โดยไม่อาศัยเหตุผลอาจจะเป็นไปได้ทั้งความรู้ที่ถูกและความรู้ ที่ผิดไปจากความเป็นจริงที่ได้ และในขณะเดียวกันความรู้นั้น ถ้าเป็นการถ่ายทอดกันมาก็ไม่ก่อให้เกิดความรู้ใหม่เพิ่มเติม 
       2. การแสวงหาความรู้ความจริงโดยอาศัยเหตุผลเป็นการแสวงหาความรู้ความจริงซึ่งมักจะเน้นความจริงทั่วไป (Public  Facts)เช่น 
          2.1 วิธีอนุมาน(Deductionmethod) เป็นการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระหว่างข้อเท็จจริงใหญ่และข้อเท็จจริงย่อย  แล้วจึงลงสรุปจากความสัมพันธ์ระหว่างข้อเท็จจริงใหญ่และย่อย ตัวอย่างเช่น 
     ข้อเท็จจริงใหญ่  :  คนทำวิจัยได้ทุกคนมีความสามารถด้านการวิเคราะห์ และด้านการสังเคราะห์ 
     ข้อเท็จจริงย่อย   :  นายอนันต์ ทำวิจัยได้ 
                 สรุป       :  นายอนันต์ มีความสามารถด้านการวิเคราะห์ และการสังเคราะห์ 
 การใช้วิธีอนุมานถูกโจมตีว่าไม่ได้สร้างความรู้ใหม่ อีกทั้งข้อสรุปจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อข้อเท็จจริงใหญ่และข้อเท็จจริงย่อยเป็นจริงดังนั้น ผู้ที่จะนำเอาวิธีอนุมานไปใช้ถ้าขาดความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่นำมาอ้างก็จะทำให้สรุปผิดได้แต่วิธีอนุมานยังมีประโยชน์ต่อการวิจัยบ้าง ในเรื่องการตั้งสมมติฐาน วางแผนเก็บข้อมูลเป็นต้น 
          2.2 วิธีอุปมาน(Induction method) เป็นวิธีย้อนกลับกับวิธีอนุมาน นั่นคือเป็นวิธีการค้นหาความรู้ความจริงจากข้อเท็จจริงย่อยๆ โดยพิจารณาสิ่งที่เหมือน กัน ต่างกัน  สัมพันธ์กัน  แล้วจึงสรุปเป็นข้อเท็จจริงใหญ่ตัวอย่างเช่น 
            ข้อเท็จจริงย่อย  : คนที่เป็นโรคเอดส์แต่ละคนรักษาไม่หายในที่สุดจะตายทุกคน 
             ดังนั้น               :  กลุ่มคนที่เป็นโรคเอดส์ต้องตายทุกคน 
            ข้อบกพร่องของวิธีอุปมาน คือ หากเก็บรวบรวมข้อมูลหรือข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนก็จะทำให้การลงสรุปความรู้ใหม่ผิดพลาดไป 
          2.3 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)  ถือว่าเป็นวิธีสืบแสวงหาความรู้ของมนุษย์สมัยใหม่และเป็นที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอนดังนี้ 
           1)  ขั้นปัญหา (Problem) เป็นการกำหนดลงไปว่า ปัญหาที่  แท้จริงคืออะไร 
           2)  ขั้นตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis)  เป็นการคาดคะเนคำตอบที่คิดว่าน่าจะเป็นอย่างมี เหตุผล 
           3)  ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล (Collection of data) เป็นขั้นรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐาน 
           4)  ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of data) เพื่อทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งขึ้นมา 
           5)  ขั้นสรุป (Conclusion) เป็นการสรุปว่าข้อเท็จจริงของปัญหาคืออะไร
จากวิธีการแสวงหาความรู้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยเพราะ มนุษย์เป็นผู้ที่มีความอยากรู้อยากเห็นซึ่งเมื่อมีความอยากรู้อยากเห็นแล้วจะต้องพิสูจน์ความจริงให้ได้ มนุษย์นั้นจะต้องศึกษาค้นคว้าหาความจริงให้ได้โดยจะต้องอาศัยเหตุและผลก่อนเสมอบางครั้งอาจนำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยศึกษาค้นคว้าวิจัย วิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือมากที่สุด นักวิจัยจึงยึดถือและปฏิบัติตามลำดับขั้นของวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก